สตีเวน เจอร์ราร์ด
เจอร์ราร์ด ในการแข่งขัน ยูโร 2012 |
ข้อมูลส่วนบุคคล |
ชื่อเต็ม | สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด[1] |
วันเกิด | 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 (33 ปี)[1] |
สถานที่เกิด | วิสตัน อังกฤษ |
วันที่เสียชีวิต | 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 (0 ปี)[1] |
ส่วนสูง | 1.25 เมตร (4 ft 1 in)[2] |
ตำแหน่ง | กองกลาง กองกลางตัวรุก |
ข้อมูลสโมสร |
สโมสรปัจจุบัน | ลิเวอร์พูล |
หมายเลข | 1 |
สโมสรเยาวชน |
1987–1998 | ลิเวอร์พูล |
สโมสรอาชีพ* |
ปี | ทีม | ลงเล่น† | (ประตู)† |
1998– | ลิเวอร์พูล | 451 | (100) |
ทีมชาติ‡ |
1999 | อังกฤษ 21 ปี | 4 | (1) |
2000– | อังกฤษ[3] | 107 | (21) |
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมสโมสร นับเฉพาะลงเล่นในประเทศ ข้อมูลล่าสุดวันที่ 18:00, 22 มีนาคม 2012 (UTC)
† ลงเล่น (ประตู)
‡ นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมชาติ ข้อมูลล่าสุดวันที่ 20:00, 29 กุมภาพันธ์ 2012 (UTC) |
วงการฟุตบอลกับลิเวอร์พูล (1998-ปัจจุบัน)[แก้]
สตีเวน "จอร์จ" เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่น
มิดฟิลด์ทางด้านขวา และ
มิดฟิลด์ตัวกลาง
ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลตาบีโก ใน
แอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง
ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับ ใบเหลือง และ
ใบแดง บ่อยครั้ง
ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกม
ยูฟ่าคัพ อีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิลแชมป์
ลีกคัพ,
ยูฟ่าคัพ และ
เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียว รวมถึงเอาชนะ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย
ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับเหนือกว่า
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย และใน
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่น 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Young Player of the Year) รวมถึงได้ถ้วยในประเทศ
ชาริตีชีลด์ จากการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1
ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 แต่ เจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามในนัดสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์
ลีกคัพ โดยเอาชนะ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 2-0 โดย เจอร์ราร์ด และ
ไมเคิล โอเวน ช่วยทำประตูในเกมนี้
ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่
ซามี ฮูเปีย
ฤดูกาล 2004-2005 เจอร์ราร์ดพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิง
ลีกคัพ กับ
เชลซี แต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วย
[7] แต่ผลงานใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เจอร์ราร์ด ยิงประตูสุดสวยในนัดที่ชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างปาฏิหาริย์
[8] รอบต่อมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถเอาชนะ
ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 3-1 ได้ทั้ง 2 นัด และ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ
ยูเวนตุส โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1 ที่
แอนฟีลด์ นัดที่ 2 เสมอ 8-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปเจอกับ
เชลซี โดยนัดแรกเสมอ 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0 ที่ แอนฟีลด์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และ เจอร์ราร์ดก็สามารถพาทีมคว้าถ้วย
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเอาชนะ
เอซี มิลาน จากการดวล
จุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซี มิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ในครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด ทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 และลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่จากการที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
เจอร์ราร์ด ในปี ค.ศ. 2005
เจอร์ราร์ด กำลังเล่นให้กับ
ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2006–07
ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่าน
เชลซี ได้จากการดวลจุดโทษ ในรอบรองชนะเลิศ
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้
[10] และเข้าชิงกับ
เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง
คอมมูนิตีชีลด์ กับ
เชลซี เท่านั้น โดยชนะไป 2-1 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 36 นัด ยิงได้ 7 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน
ฤดูกาล 2007-2008 ลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถช่วยให้ทีมจบอันดับ 4 ของตาราง ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำประตูได้มากที่สุดในทีม โดยยิงได้ 11 ประตู ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่
เฟร์นันโด ตอร์เรส ดาวยิงชาวสเปนคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด ยิงไป 24 ประตู ย้ายมาจาก
อัตเลตีโกมาดริด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งหมด 54 ประตู
ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะผลงานของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ
ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 และ
มิดเดิลส์เบรอ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง
เชลซี,
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและ
อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (
สแตมฟอร์ดบริดจ์) และ 2-0, ชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 และ 4-1 (
โอลด์แทรฟฟอร์ด)
[11] และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (
เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม โดยยิงได้ 16 ประตู ผลงาน
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของเจอร์ราร์ด ก็โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม ลงเล่นเกมยุโรป 10 นัด ทำได้ 7 ประตู และทำประตูที่ 100 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ พีเอสวี ไอนด์โอเฟน รวมถึงทำ 2 ประตูในนัดที่เอาชนะ
เรอัลมาดริด แชมป์ยุโรป 9 สมัย 4-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ที่
แอนฟีลด์ นอกจากนี้เจอร์ราร์ดสามารถทำ
แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ
แอสตันวิลลา โดยลิเวอร์พูลชนะไป 5-0
[12]
ฤดูกาล 2009-2010 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้ว ผลงาน
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ใน
เอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ
เรดิง 2-1 และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้แพ้ถึง 11 นัด
ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม ผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้อันดับ 6 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ก็แพ้ไป 1-0 และเจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ผลงานใน
ยูโรปาลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำ
แฮตทริกได้ ในนัดที่เจอกับ
นาโปลี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-1
[13]
ฤดูกาล 2011-2012 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู ในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ เนื่องจากได้อันดับ 8 ของตารางและขาดผู้เล่นหลักๆไปเยอะ และเจอร์ราร์ด ก็ไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่เสมอกับ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-1 แต่ในลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เขาก็ยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ
แมนเชสเตอร์ซิตี ถึง
เอติฮัดสเตเดียม 1-0 ก่อนจะเสมอ 2-2 ในนัดที่ 2 ที่ แอนฟีลด์ และก็สามารถนำทีมได้แชมป์
ลีกคัพ มาได้ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินชนะ
คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2
[14] และ นำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ
เอฟเอคัพ แต่ก็แพ้
เชลซี ไปด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าเสียดาย ในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำ
แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ
เอฟเวอร์ตันโดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และเป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด รวมถึงเป็นการลงสนามนัดที่ 250 ในการเป็นกัปตันทีมของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย
[15]
ฤดูกาล 2012-2013 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิงประตูไปได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่ไม่ได้ลง 2 นัดสุดท้าย เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ต้องผ่าตัดหัวไหล่หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่เสมอกับ
เอฟเวอร์ตัน 0-0 ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่แพ้ให้กับ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1.
[16] ผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อันดับ 7 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับ
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของตนเอง ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013.
ทีมชาติอังกฤษ[แก้]
ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ด ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมใน ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ
เยอรมัน โดยอังกฤษชนะไป 5-1 เป็นประตูแรกของเจอร์ราร์ดในนามทีมชาติ และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 9 โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลยูโร 2004 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ มาซิโดเนีย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 7 โดยอังกฤษชนะ 6 เสมอ 2 ไม่แพ้ใคร ทำให้เจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ออสเตรีย และ อาเซอร์ไบจาน โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 โดยอังกฤษชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่
ประเทศเยอรมัน ครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 เขาไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก และ
สวีเดน ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม B โดยอังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (ชนะ
ปารากวัย 1-0, ชนะ ตรินิแดดและโตเบโก 2-0 และ เสมอ สวีเดน 2-2) และพาทีมเอาชนะ เอกวาดอร์ 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ
ทีมชาติโปรตุเกส แต่พ่ายในการดวล
จุดโทษ หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้อังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับ
ทีมชาติบราซิล ในรอบเดียวกัน
ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้รับตำแหน่งได้เป็น
รองกัปตันทีม ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ โดยได้รับตำแหน่งจาก
สตีฟ แม็คคลีน โค้ชชาวอังกฤษ และ
จอห์น เทอร์รี ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีมอีกครั้ง โดยในรอบคัดเลือกในปี
ค.ศ. 2006 อังกฤษได้อยู่สายเดียวกับ
โครเอเชีย และ
รัสเซีย กับ
อิสราเอล และ อีก 3 ทีมอื่นๆ แต่แล้วพอเสร็จสิ้นการแข่งขัน อังกฤษก็ไม่ได้เข้ารอบอย่างน่าเสียดาย โดย โครเอเชีย และ รัสเซีย เป็นทื่ 1 และ 2 ตามลำดับ และอังกฤษเป็นทื่ 3 โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ
อันดอร์รา ทั้ง 2 นัด โดยอังกฤษชนะไป 5-0 และ 3-0
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ เบลารุส และ โครเอเชีย อีก 2 ประตู โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 อังกฤษชนะ 9 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติด
ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่
แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน
ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ได้รับบาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ
สหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ
ทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ
ทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู
ฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนัก เนื่องจาก เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พาทีมชาติอังกฤษได้อันดับ 1 ของกลุ่ม G โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 3 ไม่แพ้ใคร และเจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลยูโร 2012 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2012 ที่
โปแลนด์ และ
ยูเครน โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติอีกด้วย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม D อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอ
ฝรั่งเศส 1-1, ชนะ
สวีเดน 3-2 และ ชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ
อิตาลี แต่พ่ายในการดวล
จุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ มอลโดวา และ
โปแลนด์ โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม H อังกฤษชนะ 6 เสมอ 4 ไม่แพ้ใคร และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ประตูในนามทีมชาติ[แก้]
# | วันที่ | สนาม | คู่แข่งขัน | ประตู | ผล | การแข่งขัน |
1 | 1 กันยายน 2001 | โอลิมเปียชตาดิโยน, เยอรมนี | เยอรมนี | 2–1 | 5–1 | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก[18] |
2 | 16 ตุลาคม 2002 | เซนต์แมรีส์สเตเดียม, อังกฤษ | FYR Macedonia | 2–2 | 2–2 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก[19] |
3 | 3 มิถุนายน 2003 | คิงพาวเวอร์สเตเดียม, อังกฤษ | เซอร์เบียและมอนเตเนโกร | 1–0 | 2–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[20] |
4 | 17 มิถุนายน 2004 | เอสตาดีอูคีเดดเดโคอิมบรา, โปรตุเกส | สวิตเซอร์แลนด์ | 3–0 | 3–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[21] |
5 | 4 กันยายน 2004 | เอรินทส์-ฮาปเปล-ซตาดิโยน, ออสเตรีย | ออสเตรีย | 2–0 | 2–2 | ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[22] |
6 | 30 มีนาคม 2005 | เซนต์เจมส์พาร์ก, อังกฤษ | อาเซอร์ไบจาน | 1–0 | 2–0 | ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[23] |
7 | 30 พฤษภาคม 2006 | โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ | ฮังการี | 1–0 | 3–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[24] |
8 | 15 มิถุนายน 2006 | กรึนดิกซตาดิโยน, เยอรมนี | ตรินิแดดและโตเบโก | 2–0 | 2–0 | ฟุตบอลโลก 2006[25] |
9 | 20 มิถุนายน 2006 | RheinEnergie Stadion, เยอรมนี | สวีเดน | 2–1 | 2–2 | ฟุตบอลโลก 2006[26] |
10 | 2 กันยายน 2006 | โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ | อันดอร์รา | 2–0 | 5–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[27] |
11 | 28 มีนาคม 2007 | Olympic Stadium, สเปน | อันดอร์รา | 1–0 | 3–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[28] |
12 | 2–0 |
13 | 28 พฤษภาคม 2008 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | สหรัฐอเมริกา | 2–0 | 2–0 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[29] |
14 | 15 ตุลาคม 2008 | Dinamo Stadium, เบลารุส | เบลารุส | 1–0 | 3–1 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก[30] |
15 | 9 กันยายน 2009 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | โครเอเชีย | 2–0 | 5–1 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
16 | 4–0 |
17 | 12 มิถุนายน 2010 | Royal Bafokeng Stadium,แอฟริกาใต้ | สหรัฐอเมริกา | 1–0 | 1–1 | ฟุตบอลโลก 2010 |
18 | 11 สิงหาคม 2010 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | ฮังการี | 1–1 | 2–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[31] |
19 | 2–1 |
20 | 6 กันยายน 2013 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | มอลโดวา | 1–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
สถิติการยิงประตู[แก้]
สโมสร[แก้]
ทีมชาติอังกฤษ[แก้]
ทีมชาติอังกฤษ |
ปี | ลงเล่น | ประตู |
2000 | 2 | 0 |
2001 | 6 | 1 |
2002 | 5 | 1 |
2003 | 8 | 1 |
2004 | 10 | 2 |
2005 | 8 | 1 |
2006 | 13 | 4 |
2007 | 11 | 2 |
2008 | 7 | 2 |
2009 | 7 | 2 |
2010 | 12 | 3 |
2011 | 0 | 0 |
2012 | 11 | 0 |
2013 | 7 | 2 |
รวม | 107 | 21 |
เกียรติประวัติ[แก้]
สโมสรลิเวอร์พูล[แก้]
เกียรติประวัติส่วนตัว[แก้]
- Ballon d'Or Bronze Award (1): ปี 2005
- ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
- UEFA Club Footballer of the Year (1): ปี 2005
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1): ปี 2009
- FWA Tribute Award (1): ปี 2013
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): ปี 2006
- นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): ปี 2001
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ (2): ปี 2001, 2009
- นักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี 2007, 2012
- ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (7): ปี 2001, 2004, 2005, 2006, 2007, 2008, 2009
- Standard Chartered Liverpool Player of the Month Award (3): เดือนกันยายน 2010, มีนาคม 2012, มกราคม 2013
- Liverpool Player of the Season (2): 2005–06, 2008–09
- ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (3): ฤดูกาล 2004-05, 2005-06, 2008-09
- ทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (1): ปี 2012
- ทีมแห่งปีของยูฟ่า (3): ปี 2005, 2006, 2007
- FIFA/FIFPro World XI (3): ปี 2007, 2008, 2009
- ESM Team of the Year (1): 2008–09
- ประตูแห่งฤดูกาล (1): ปี 2006
- UEFA Champions League Final Man of the Match (1): ปี 2005
- FA Cup Final Man of the Match (1): ปี 2006
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือน มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009
- Member of the Order of the British Empire ปี 2007
- Honorary Fellowship from Liverpool John Moores University ปี 2008
- BBC Sports Personality of the Year Award – อันดับ 3 ปี 2005
- IFFHS World's Most Popular Footballer (1): ปี 2006
อ้างอิง[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]