จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

illslick

ป ร ะ วั ติ I L L S L I C K *;
ILLSLICK เป็นชื่อ AKA (ฉายาแร็ปเปอร์) ไม่ใช่ชื่อวง แต่มีเพียงพี่โต้งคนเดียว
ILLSLICK ชื่อโต้ง , ชื่อจริงคือ ทิฆัมพร (แปลว่า ท้องฟ้า) บ้านอยู่ขอนแก่น มาเรียนที่เชียงใหม่. บางคนก็เรียก อิล ที่มาจาก ILLslick
ILLSLICK เกิดวันที่ 28พฤศจิกายน . ปัจจุบัน อายุ 25 ปี
ILLSLICK เป็นแร็ปเปอร์ที่ร้องแนว Slow jam เช่น Bone thugs n harmony หรือ Twista
ILLSLICK งานเพลงส่วนใหญ่ จะเป็น Mixtape (การนำทำนองเพลงของคนอื่น เรียกอีกอย่างว่า
Beat นำมาทำเนื้อร้องใหม่ในสไตล์ของตัวเอ­ง)
ILLSLICK จุดเด่นของเพลงคือ มีเมโลดี้ที่สวย เพลงเพราะ เสียงหล่อ แต่พอจะโหดก็รัวได้สุดๆ ..

* Mixtape ต่างจากการทำเพลงแปลงนะคะ และไม่ได้จงใจก๊อปเพลงคนอื่นด้วย
ซึ่งการทำ Mixtape เนี่ย แร็ปเปอร์ดังๆก็ทำกัน มันคือเรื่องธรรมดา เป็นการแสดง
กึ๋นในการทำเพลงมากว่า เพราะเพลง hiphop วัดกันที่ Ryhme (เนื้อเพลง) มากกว่าค่ะ 

จริงๆแล้วพี่โต้งไม่ใช่หน้าใหม่ ในวงการ hiphop เลย เพราะพี่เค้าทำเพลง underground มานานแล้ว เห็นในเนื้อเพลงบางเพลง พี่โต้งบอกว่าทำมาตั้งแต่อายุ 17 แล้ว 
จนถึง ปี 2010 พี่แกเป็นรู้จักไปทั่วด้วยเพลง "รักเมียที่สุดในโลก" ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วเว็บ youtube .

เจอร์ราร์ด

ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกในปีต่อมา ลิเวอร์พูลใช้สนามแอนฟิลด์ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือช่วงทศวรรษ 1970 - 1980 เมื่อบิลล์ แชงคลีและบ็อบ เพลสลี่ย์นำทีมเข้าร่วมแข่งขันใน 7 ลีกส์และคว้าถ้วยรางวัลยูโรเปียน 7 ใบ
ผูสนับสนุนของสโมสรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่สำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่โศกนาฏกรรมเฮย์เซลเมื่อปี ค.ศ. 1985 แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน และส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกสโมสรฟุตบอลยุโรปแบนเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เกิดภัยพิบัติฮิลส์โบโร แฟนบอลของลิเวอร์พูล 96 คนเสียชีวิตเนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้อัฒจันทร์ยืนได้พังลงมา
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง เอฟเวอร์ตันและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้านปี ค.ศ.1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"

สตีเวน เจอร์ราร์ด

สตีเวน เจอร์ราร์ด
SGerrard.JPG
เจอร์ราร์ด ในการแข่งขัน ยูโร 2012
ข้อมูลส่วนบุคคล
ชื่อเต็มสตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด[1]
วันเกิด30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 (33 ปี)[1]
สถานที่เกิดวิสตัน อังกฤษ
วันที่เสียชีวิต30 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 (0 ปี)[1]
ส่วนสูง1.25 เมตร (4 ft 1 in)[2]
ตำแหน่งกองกลาง กองกลางตัวรุก
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบันลิเวอร์พูล
หมายเลข1
สโมสรเยาวชน
1987–1998ลิเวอร์พูล
สโมสรอาชีพ*
ปีทีมลงเล่น(ประตู)
1998–ลิเวอร์พูล451(100)
ทีมชาติ
1999อังกฤษ 21 ปี4(1)
2000–อังกฤษ[3]107(21)
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมสโมสร
นับเฉพาะลงเล่นในประเทศ
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 18:00, 22 มีนาคม 2012 (UTC)
† ลงเล่น (ประตู)
‡ นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมชาติ
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 20:00, 29 กุมภาพันธ์ 2012 (UTC)
สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด MBE[4] (อังกฤษSteven George Gerrard) เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษเกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลในตำแหน่งกัปตันทีม ซึ่งแต่งตั้งโดยผู้จัดการทีมในขณะนั้น เชราร์ อุลลิเยร์ ในช่วงฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ดใส่เสื้อหมายเลข 8 เจอร์ราร์ดได้รับการอวยยศเป็นสมาชิกแห่งจักรวรรดิบริเตน โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2550
เจอร์ราร์ดเล่นในตำแหน่งกองกลางซึ่งสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งทั้ง กองกลางตัวรุกปีกขวากองกลางตัวรับ และบางครั้งยังเล่นเป็น กองหน้าตัวต่ำ กับ แบ็กขวา ได้อีกด้วย.[5][6]

วงการฟุตบอลกับลิเวอร์พูล (1998-ปัจจุบัน)[แก้]

สตีเวน "จอร์จ" เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง
ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลตาบีโก ในแอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง
ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับ ใบเหลือง และ ใบแดง บ่อยครั้ง
ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ อีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิลแชมป์ ลีกคัพยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียว รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย
ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับเหนือกว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่น 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Young Player of the Year) รวมถึงได้ถ้วยในประเทศ ชาริตีชีลด์ จากการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1
ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 แต่ เจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามในนัดสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ โดยเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 2-0 โดย เจอร์ราร์ด และ ไมเคิล โอเวน ช่วยทำประตูในเกมนี้
ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย
ฤดูกาล 2004-2005 เจอร์ราร์ดพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพ กับ เชลซี แต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วย[7] แต่ผลงานใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เจอร์ราร์ด ยิงประตูสุดสวยในนัดที่ชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างปาฏิหาริย์[8] รอบต่อมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถเอาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 3-1 ได้ทั้ง 2 นัด และ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ ยูเวนตุส โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1 ที่แอนฟีลด์ นัดที่ 2 เสมอ 8-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปเจอกับ เชลซี โดยนัดแรกเสมอ 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0 ที่ แอนฟีลด์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และ เจอร์ราร์ดก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเอาชนะ เอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซี มิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ในครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด ทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 และลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่จากการที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
เจอร์ราร์ด ในปี ค.ศ. 2005
ฤดูกาล 2005-2006 เจอร์ราร์ดทำประตูตีเสมอ เวสต์แฮมยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด[9] ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ เช่น ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส , ลีกคัพ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด , ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับเวสต์แฮมยูไนเต็ด ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 32 นัด ยิงได้ 10 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นรองแค่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เท่านั้น
เจอร์ราร์ด กำลังเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2006–07
ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซี ได้จากการดวลจุดโทษ ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้[10] และเข้าชิงกับ เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมูนิตีชีลด์ กับ เชลซี เท่านั้น โดยชนะไป 2-1 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 36 นัด ยิงได้ 7 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน
ฤดูกาล 2007-2008 ลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถช่วยให้ทีมจบอันดับ 4 ของตาราง ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำประตูได้มากที่สุดในทีม โดยยิงได้ 11 ประตู ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ เฟร์นันโด ตอร์เรส ดาวยิงชาวสเปนคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด ยิงไป 24 ประตู ย้ายมาจาก อัตเลตีโกมาดริด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งหมด 54 ประตู
ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะผลงานของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิลส์เบรอ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (สแตมฟอร์ดบริดจ์) และ 2-0, ชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด)[11] และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม โดยยิงได้ 16 ประตู ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของเจอร์ราร์ด ก็โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม ลงเล่นเกมยุโรป 10 นัด ทำได้ 7 ประตู และทำประตูที่ 100 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ พีเอสวี ไอนด์โอเฟน รวมถึงทำ 2 ประตูในนัดที่เอาชนะเรอัลมาดริด แชมป์ยุโรป 9 สมัย 4-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ที่แอนฟีลด์ นอกจากนี้เจอร์ราร์ดสามารถทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ แอสตันวิลลา โดยลิเวอร์พูลชนะไป 5-0[12]
ฤดูกาล 2009-2010 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้ว ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดิง 2-1 และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้แพ้ถึง 11 นัด
เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของ เจมี คาร์เรเกอร์ ปี ค.ศ. 2010
ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม ผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้อันดับ 6 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ก็แพ้ไป 1-0 และเจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ผลงานในยูโรปาลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮตทริกได้ ในนัดที่เจอกับนาโปลี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-1[13]
เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริกในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน
ฤดูกาล 2011-2012 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู ในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ เนื่องจากได้อันดับ 8 ของตารางและขาดผู้เล่นหลักๆไปเยอะ และเจอร์ราร์ด ก็ไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-1 แต่ในลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เขาก็ยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี ถึง เอติฮัดสเตเดียม 1-0 ก่อนจะเสมอ 2-2 ในนัดที่ 2 ที่ แอนฟีลด์ และก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลีกคัพ มาได้ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2[14] และ นำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ แต่ก็แพ้ เชลซี ไปด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าเสียดาย ในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตันโดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และเป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด รวมถึงเป็นการลงสนามนัดที่ 250 ในการเป็นกัปตันทีมของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย[15]
ฤดูกาล 2012-2013 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิงประตูไปได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่ไม่ได้ลง 2 นัดสุดท้าย เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ต้องผ่าตัดหัวไหล่หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1.[16] ผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อันดับ 7 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของตนเอง ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013.
ฤดูกาล 2013-2014 ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลไปอีก 2 ปี.[17]

ทีมชาติอังกฤษ[แก้]

ฟุตบอลยูโร 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น
ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ด ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมใน ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ เยอรมัน โดยอังกฤษชนะไป 5-1 เป็นประตูแรกของเจอร์ราร์ดในนามทีมชาติ และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 9 โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ฟุตบอลยูโร 2004 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ มาซิโดเนีย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 7 โดยอังกฤษชนะ 6 เสมอ 2 ไม่แพ้ใคร ทำให้เจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ สวิตเซอร์แลนด์ และพาทีมได้อันดับ 2 ของกลุ่ม B อังกฤษชนะ 2 แพ้ 1 (แพ้ ฝรั่งเศส 1-2, ชนะ สวิตเซอร์แลนด์3-0 และ ชนะ โครเอเชีย 4-2) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกสเจ้าภาพ แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ
ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ออสเตรีย และ อาเซอร์ไบจาน โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 โดยอังกฤษชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่ ประเทศเยอรมัน ครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 เขาไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก และ สวีเดน ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม B โดยอังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (ชนะปารากวัย 1-0, ชนะ ตรินิแดดและโตเบโก 2-0 และ เสมอ สวีเดน 2-2) และพาทีมเอาชนะ เอกวาดอร์ 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ ทีมชาติโปรตุเกส แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้อังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับทีมชาติบราซิล ในรอบเดียวกัน
ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้รับตำแหน่งได้เป็น รองกัปตันทีม ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ โดยได้รับตำแหน่งจาก สตีฟ แม็คคลีน โค้ชชาวอังกฤษ และ จอห์น เทอร์รี ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีมอีกครั้ง โดยในรอบคัดเลือกในปี ค.ศ. 2006 อังกฤษได้อยู่สายเดียวกับ โครเอเชีย และ รัสเซีย กับ อิสราเอล และ อีก 3 ทีมอื่นๆ แต่แล้วพอเสร็จสิ้นการแข่งขัน อังกฤษก็ไม่ได้เข้ารอบอย่างน่าเสียดาย โดย โครเอเชีย และ รัสเซีย เป็นทื่ 1 และ 2 ตามลำดับ และอังกฤษเป็นทื่ 3 โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ อันดอร์รา ทั้ง 2 นัด โดยอังกฤษชนะไป 5-0 และ 3-0
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ เบลารุส และ โครเอเชีย อีก 2 ประตู โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 อังกฤษชนะ 9 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่ แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ได้รับบาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ สหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ ทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู
ฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนัก เนื่องจาก เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พาทีมชาติอังกฤษได้อันดับ 1 ของกลุ่ม G โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 3 ไม่แพ้ใคร และเจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
เจอร์ราร์ด กับ ฟร็องก์ รีเบรี ในศึก ยูโร 2012
ฟุตบอลยูโร 2012 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2012 ที่ โปแลนด์ และ ยูเครน โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติอีกด้วย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม D อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอฝรั่งเศส 1-1, ชนะ สวีเดน 3-2 และ ชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ อิตาลี แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ มอลโดวา และ โปแลนด์ โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม H อังกฤษชนะ 6 เสมอ 4 ไม่แพ้ใคร และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

ประตูในนามทีมชาติ[แก้]

#วันที่สนามคู่แข่งขันประตูผลการแข่งขัน
11 กันยายน 2001โอลิมเปียชตาดิโยน, เยอรมนีธงชาติเยอรมนี เยอรมนี2–15–1ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก[18]
216 ตุลาคม 2002เซนต์แมรีส์สเตเดียม, อังกฤษFlag of the Republic of Macedonia FYR Macedonia2–22–2ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก[19]
33 มิถุนายน 2003คิงพาวเวอร์สเตเดียม, อังกฤษธงชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เซอร์เบียและมอนเตเนโกร1–02–1เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[20]
417 มิถุนายน 2004เอสตาดีอูคีเดดเดโคอิมบรา, โปรตุเกสธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์3–03–0ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[21]
54 กันยายน 2004เอรินทส์-ฮาปเปล-ซตาดิโยน, ออสเตรียธงชาติออสเตรีย ออสเตรีย2–02–2ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[22]
630 มีนาคม 2005เซนต์เจมส์พาร์ก, อังกฤษธงชาติอาเซอร์ไบจาน อาเซอร์ไบจาน1–02–0ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[23]
730 พฤษภาคม 2006โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษธงชาติฮังการี ฮังการี1–03–1เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[24]
815 มิถุนายน 2006กรึนดิกซตาดิโยน, เยอรมนีธงชาติตรินิแดดและโตเบโก ตรินิแดดและโตเบโก2–02–0ฟุตบอลโลก 2006[25]
920 มิถุนายน 2006RheinEnergie Stadion, เยอรมนีธงชาติสวีเดน สวีเดน2–12–2ฟุตบอลโลก 2006[26]
102 กันยายน 2006โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษธงชาติอันดอร์รา อันดอร์รา2–05–0ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[27]
1128 มีนาคม 2007Olympic Stadium, สเปนธงชาติอันดอร์รา อันดอร์รา1–03–0ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[28]
122–0
1328 พฤษภาคม 2008สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษFlag of the United States สหรัฐอเมริกา2–02–0เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[29]
1415 ตุลาคม 2008Dinamo Stadiumเบลารุสธงชาติเบลารุส เบลารุส1–03–1ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก[30]
159 กันยายน 2009สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษธงชาติโครเอเชีย โครเอเชีย2–05–1ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
164–0
1712 มิถุนายน 2010Royal Bafokeng Stadium,แอฟริกาใต้Flag of the United States สหรัฐอเมริกา1–01–1ฟุตบอลโลก 2010
1811 สิงหาคม 2010สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษธงชาติฮังการี ฮังการี1–12–1เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[31]
192–1
206 กันยายน 2013สนามกีฬาเวมบลีย์อังกฤษธงชาติมอลโดวา มอลโดวา1–04–0ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก

สถิติการยิงประตู[แก้]

สโมสร[แก้]

สโมสรลีกฟุตบอลถ้วยลีกคัพยุโรปอื่นๆรวม
ฤดูกาลสโมสรลีกลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตู
อังกฤษพรีเมียร์ลีกเอฟเอคัพลีกคัพยุโรปอื่นๆรวม
1998–99ลิเวอร์พูลพรีเมียร์ลีก12000001000130
1999–200029120000000311
2000–01337414092005010
2001–02283200015100454
2002–03345206211010547
2003–0434430208200476
2004–053070032104004313
2005–0632106411127215323
2006–073671011123105111
2007–0834113321136005221
2008–0931163100107004424
2009–103392110132004912
2010–1121410002400248
2011–1218562420000289
2012–13369101081004610
2013–1410200200000122
รวมอังกฤษ45010036122791243941641161
รวมทั้งหมด45010036122791243941641161

ทีมชาติอังกฤษ[แก้]

ทีมชาติอังกฤษ
ปีลงเล่นประตู
200020
200161
200251
200381
2004102
200581
2006134
2007112
200872
200972
2010123
201100
2012110
201372
รวม10721

เกียรติประวัติ[แก้]

สโมสรลิเวอร์พูล[แก้]

เกียรติประวัติส่วนตัว[แก้]

  • Ballon d'Or Bronze Award (1): ปี 2005
  • ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
  • UEFA Club Footballer of the Year (1): ปี 2005
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1): ปี 2009
  • FWA Tribute Award (1): ปี 2013
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): ปี 2006
  • นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): ปี 2001
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ (2): ปี 2001, 2009
  • นักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี 2007, 2012
  • ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (7): ปี 2001, 2004, 2005, 2006, 2007, 2008, 2009
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month Award (3): เดือนกันยายน 2010, มีนาคม 2012, มกราคม 2013
  • Liverpool Player of the Season (2): 2005–06, 2008–09
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (3): ฤดูกาล 2004-05, 2005-06, 2008-09
  • ทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (1): ปี 2012
  • ทีมแห่งปีของยูฟ่า (3): ปี 2005, 2006, 2007
  • FIFA/FIFPro World XI (3): ปี 2007, 2008, 2009
  • ESM Team of the Year (1): 2008–09
  • ประตูแห่งฤดูกาล (1): ปี 2006
  • UEFA Champions League Final Man of the Match (1): ปี 2005
  • FA Cup Final Man of the Match (1): ปี 2006
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือน มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009
  • Member of the Order of the British Empire ปี 2007
  • Honorary Fellowship from Liverpool John Moores University ปี 2008
  • BBC Sports Personality of the Year Award – อันดับ 3 ปี 2005
  • IFFHS World's Most Popular Footballer (1): ปี 2006

อ้างอิง[แก้]

  1. ↑ 1.0 1.1 1.2 Hugman, Barry J. (2005). The PFA Premier & Football League Players' Records 1946–2005. Queen Anne Press. p. 232. ISBN 1852916656.
  2.  "1st Team squad profiles: Steven Gerrard"Liverpool F.C.สืบค้นเมื่อ 2012-03-13.
  3.  "Steven Gerrard Profile"The Football Association. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
  4.  It's Steven Gerrard, MBE ข่าวจาก Herald Sun
  5.  "Football | Premier League | Liverpool News". TEAMtalk. สืบค้นเมื่อ 2010-06-13.
  6.  "Liverpool captain Steven Gerrard's greatest games". BBC Sports. 14 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2 January 2013.
  7.  "Liverpool 2–3 Chelsea". BBC Sport. 27 February 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  8.  "Liverpool 3–1 Olympiakos"BBC Sport. 8 December 2004. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  9.  "Liverpool 3–3 West Ham (aet)". BBC Sport. 2006-05-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-22.
  10.  Phillips, Owen (1 May 2007). "Liverpool 1–0 Chelsea (Agg: 1–1)". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  11.  McNulty, Phil (14 March 2009). "Man Utd 1–4 Liverpool".BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 16 March 2009.
  12.  McNulty, Phil (22 March 2009). "Liverpool 5–0 Aston Villa".BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 23 March 2009.
  13.  Sanghera, Mandeep (4 November 2010). "Liverpool 3–1 Napoli"BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2010-11-21.
  14.  "Cardiff 2–2 Liverpool (Liverpool win 3–2 on penalties)" BBC Sport. 26 February 2012. Retrieved 16 June 2012.
  15.  "Liverpool 3–0 Everton" BBC Sport. 13 March 2012. Retrieved 16 June 2012.
  16.  "Liverpool 1–2 Man Utd" BBC Sport. 23 September 2012. Retrieved 30 September 2012.
  17.  "Gerrard signs contract extension". Liverpool F.C. 15 July 2013. สืบค้นเมื่อ 15 July 2013.
  18.  "Awesome England thrash Germany". BBC Sport. 2001-09-01. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  19.  "Macedonia hold ragged England". BBC Sport. 2002-10-16. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  20.  "England seal late win". BBC Sport. 2003-06-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  21.  "England 3–0 Switzerland". BBC Sport. 2004-06-17. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  22.  "Austria 2–2 England". BBC Sport. 2004-09-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  23.  "England 2–0 Azerbaijan". BBC Sport. 2005-03-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  24.  "England 3–1 Hungary". BBC Sport. 2006-05-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  25.  "England 2–0 Trinidad and Tobago". BBC Sport. 2006-06-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  26.  "Sweden 2–2 England". BBC Sport. 2006-06-20. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  27.  "England 5–0 Andorra". BBC Sport. 2006-09-02. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  28.  McNulty, Phil (2007-03-28). "Andorra 0–3 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  29.  "England beats United States 2–0"International Herald Tribune. 2008-05-29. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  30.  "Belarus 1–3 England FT"The FA. 2008-10-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.[ลิงก์เสีย]
  31.  Winter, Henry (2010-08-11). "England 2–1 Hungary FT". London: The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 2010-08-13.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

ก่อนหน้าสตีเวน เจอร์ราร์ดถัดไป
จอห์น เทอร์รี2leftarrow.pngนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ
(พ.ศ. 2549)
2rightarrow.pngคริสเตียโน โรนัลโด
คริสเตียโน โรนัลโด2leftarrow.pngนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
(2009)
2rightarrow.pngเวย์น รูนีย์
ซามี ฮูเปีย2leftarrow.pngกัปตันทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
(2003–ปัจจุบัน)
2rightarrow.png-
จอห์น เทอร์รี2leftarrow.pngกัปตันทีมฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
(2012–ปัจจุบัน)
2rightarrow.png-