เจอร์ราร์ด ในการแข่งขัน ยูโร 2012 | |||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด[1] | ||
วันเกิด | 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 [1] | ||
สถานที่เกิด | วิสตัน อังกฤษ | ||
วันที่เสียชีวิต | 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 [1] | ||
ส่วนสูง | 1.25 เมตร (4 ft 1 in)[2] | ||
ตำแหน่ง | กองกลาง กองกลางตัวรุก | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | ลิเวอร์พูล | ||
หมายเลข | 1 | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1987–1998 | ลิเวอร์พูล | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น† | (ประตู)† |
1998– | ลิเวอร์พูล | 451 | (100) |
ทีมชาติ‡ | |||
1999 | อังกฤษ 21 ปี | 4 | (1) |
2000– | อังกฤษ[3] | 107 | (21) |
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมสโมสร นับเฉพาะลงเล่นในประเทศ ข้อมูลล่าสุดวันที่ 18:00, 22 มีนาคม 2012 (UTC)
† ลงเล่น (ประตู)
‡ นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมชาติข้อมูลล่าสุดวันที่ 20:00, 29 กุมภาพันธ์ 2012 (UTC) |
สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด MBE[4] (อังกฤษ: Steven George Gerrard) เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษเกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลในตำแหน่งกัปตันทีม ซึ่งแต่งตั้งโดยผู้จัดการทีมในขณะนั้น เชราร์ อุลลิเยร์ ในช่วงฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ดใส่เสื้อหมายเลข 8 เจอร์ราร์ดได้รับการอวยยศเป็นสมาชิกแห่งจักรวรรดิบริเตน โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2550
เจอร์ราร์ดเล่นในตำแหน่งกองกลางซึ่งสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งทั้ง กองกลางตัวรุก, ปีกขวา, กองกลางตัวรับ และบางครั้งยังเล่นเป็น กองหน้าตัวต่ำ กับ แบ็กขวา ได้อีกด้วย.[5][6]
เนื้อหา
[ซ่อน]วงการฟุตบอลกับลิเวอร์พูล (1998-ปัจจุบัน)[แก้]
สตีเวน "จอร์จ" เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง
ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลตาบีโก ในแอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง
ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับ ใบเหลือง และ ใบแดง บ่อยครั้ง
ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ อีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิลแชมป์ ลีกคัพ, ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียว รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย
ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับเหนือกว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่น 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Young Player of the Year) รวมถึงได้ถ้วยในประเทศ ชาริตีชีลด์ จากการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1
ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 แต่ เจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามในนัดสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ โดยเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 2-0 โดย เจอร์ราร์ด และ ไมเคิล โอเวน ช่วยทำประตูในเกมนี้
ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย
ฤดูกาล 2004-2005 เจอร์ราร์ดพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพ กับ เชลซี แต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วย[7] แต่ผลงานใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เจอร์ราร์ด ยิงประตูสุดสวยในนัดที่ชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างปาฏิหาริย์[8] รอบต่อมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถเอาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 3-1 ได้ทั้ง 2 นัด และ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ ยูเวนตุส โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1 ที่แอนฟีลด์ นัดที่ 2 เสมอ 8-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปเจอกับ เชลซี โดยนัดแรกเสมอ 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0 ที่ แอนฟีลด์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และ เจอร์ราร์ดก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเอาชนะ เอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซี มิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ในครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด ทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 และลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่จากการที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ฤดูกาล 2005-2006 เจอร์ราร์ดทำประตูตีเสมอ เวสต์แฮมยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด[9] ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ เช่น ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส , ลีกคัพ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด , ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับเวสต์แฮมยูไนเต็ด ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 32 นัด ยิงได้ 10 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นรองแค่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เท่านั้น
ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซี ได้จากการดวลจุดโทษ ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้[10] และเข้าชิงกับ เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมูนิตีชีลด์ กับ เชลซี เท่านั้น โดยชนะไป 2-1 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 36 นัด ยิงได้ 7 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน
ฤดูกาล 2007-2008 ลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถช่วยให้ทีมจบอันดับ 4 ของตาราง ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำประตูได้มากที่สุดในทีม โดยยิงได้ 11 ประตู ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ เฟร์นันโด ตอร์เรส ดาวยิงชาวสเปนคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด ยิงไป 24 ประตู ย้ายมาจาก อัตเลตีโกมาดริด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งหมด 54 ประตู
ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะผลงานของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิลส์เบรอ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (สแตมฟอร์ดบริดจ์) และ 2-0, ชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด)[11] และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม โดยยิงได้ 16 ประตู ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของเจอร์ราร์ด ก็โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม ลงเล่นเกมยุโรป 10 นัด ทำได้ 7 ประตู และทำประตูที่ 100 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ พีเอสวี ไอนด์โอเฟน รวมถึงทำ 2 ประตูในนัดที่เอาชนะเรอัลมาดริด แชมป์ยุโรป 9 สมัย 4-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ที่แอนฟีลด์ นอกจากนี้เจอร์ราร์ดสามารถทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ แอสตันวิลลา โดยลิเวอร์พูลชนะไป 5-0[12]
ฤดูกาล 2009-2010 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้ว ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดิง 2-1 และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้แพ้ถึง 11 นัด
ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม ผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้อันดับ 6 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ก็แพ้ไป 1-0 และเจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ผลงานในยูโรปาลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮตทริกได้ ในนัดที่เจอกับนาโปลี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-1[13]
ฤดูกาล 2011-2012 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู ในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ เนื่องจากได้อันดับ 8 ของตารางและขาดผู้เล่นหลักๆไปเยอะ และเจอร์ราร์ด ก็ไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-1 แต่ในลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เขาก็ยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี ถึง เอติฮัดสเตเดียม 1-0 ก่อนจะเสมอ 2-2 ในนัดที่ 2 ที่ แอนฟีลด์ และก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลีกคัพ มาได้ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2[14] และ นำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ แต่ก็แพ้ เชลซี ไปด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าเสียดาย ในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตันโดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และเป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด รวมถึงเป็นการลงสนามนัดที่ 250 ในการเป็นกัปตันทีมของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย[15]
ฤดูกาล 2012-2013 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิงประตูไปได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่ไม่ได้ลง 2 นัดสุดท้าย เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ต้องผ่าตัดหัวไหล่หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1.[16] ผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อันดับ 7 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
ทีมชาติอังกฤษ[แก้]
ฟุตบอลยูโร 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น
ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ด ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมใน ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ เยอรมัน โดยอังกฤษชนะไป 5-1 เป็นประตูแรกของเจอร์ราร์ดในนามทีมชาติ และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 9 โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ฟุตบอลยูโร 2004 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ มาซิโดเนีย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 7 โดยอังกฤษชนะ 6 เสมอ 2 ไม่แพ้ใคร ทำให้เจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ สวิตเซอร์แลนด์ และพาทีมได้อันดับ 2 ของกลุ่ม B อังกฤษชนะ 2 แพ้ 1 (แพ้ ฝรั่งเศส 1-2, ชนะ สวิตเซอร์แลนด์3-0 และ ชนะ โครเอเชีย 4-2) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกสเจ้าภาพ แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ
ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ออสเตรีย และ อาเซอร์ไบจาน โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 โดยอังกฤษชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่ ประเทศเยอรมัน ครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 เขาไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก และ สวีเดน ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม B โดยอังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (ชนะปารากวัย 1-0, ชนะ ตรินิแดดและโตเบโก 2-0 และ เสมอ สวีเดน 2-2) และพาทีมเอาชนะ เอกวาดอร์ 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ ทีมชาติโปรตุเกส แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้อังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับทีมชาติบราซิล ในรอบเดียวกัน
ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้รับตำแหน่งได้เป็น รองกัปตันทีม ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ โดยได้รับตำแหน่งจาก สตีฟ แม็คคลีน โค้ชชาวอังกฤษ และ จอห์น เทอร์รี ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีมอีกครั้ง โดยในรอบคัดเลือกในปี ค.ศ. 2006 อังกฤษได้อยู่สายเดียวกับ โครเอเชีย และ รัสเซีย กับ อิสราเอล และ อีก 3 ทีมอื่นๆ แต่แล้วพอเสร็จสิ้นการแข่งขัน อังกฤษก็ไม่ได้เข้ารอบอย่างน่าเสียดาย โดย โครเอเชีย และ รัสเซีย เป็นทื่ 1 และ 2 ตามลำดับ และอังกฤษเป็นทื่ 3 โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ อันดอร์รา ทั้ง 2 นัด โดยอังกฤษชนะไป 5-0 และ 3-0
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ เบลารุส และ โครเอเชีย อีก 2 ประตู โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 อังกฤษชนะ 9 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่ แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ได้รับบาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ สหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ ทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู
ฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนัก เนื่องจาก เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พาทีมชาติอังกฤษได้อันดับ 1 ของกลุ่ม G โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 3 ไม่แพ้ใคร และเจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ฟุตบอลยูโร 2012 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2012 ที่ โปแลนด์ และ ยูเครน โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติอีกด้วย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม D อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอฝรั่งเศส 1-1, ชนะ สวีเดน 3-2 และ ชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ อิตาลี แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ มอลโดวา และ โปแลนด์ โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม H อังกฤษชนะ 6 เสมอ 4 ไม่แพ้ใคร และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
ประตูในนามทีมชาติ[แก้]
# | วันที่ | สนาม | คู่แข่งขัน | ประตู | ผล | การแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | 1 กันยายน 2001 | โอลิมเปียชตาดิโยน, เยอรมนี | เยอรมนี | 2–1 | 5–1 | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก[18] |
2 | 16 ตุลาคม 2002 | เซนต์แมรีส์สเตเดียม, อังกฤษ | FYR Macedonia | 2–2 | 2–2 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก[19] |
3 | 3 มิถุนายน 2003 | คิงพาวเวอร์สเตเดียม, อังกฤษ | เซอร์เบียและมอนเตเนโกร | 1–0 | 2–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[20] |
4 | 17 มิถุนายน 2004 | เอสตาดีอูคีเดดเดโคอิมบรา, โปรตุเกส | สวิตเซอร์แลนด์ | 3–0 | 3–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[21] |
5 | 4 กันยายน 2004 | เอรินทส์-ฮาปเปล-ซตาดิโยน, ออสเตรีย | ออสเตรีย | 2–0 | 2–2 | ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[22] |
6 | 30 มีนาคม 2005 | เซนต์เจมส์พาร์ก, อังกฤษ | อาเซอร์ไบจาน | 1–0 | 2–0 | ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[23] |
7 | 30 พฤษภาคม 2006 | โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ | ฮังการี | 1–0 | 3–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[24] |
8 | 15 มิถุนายน 2006 | กรึนดิกซตาดิโยน, เยอรมนี | ตรินิแดดและโตเบโก | 2–0 | 2–0 | ฟุตบอลโลก 2006[25] |
9 | 20 มิถุนายน 2006 | RheinEnergie Stadion, เยอรมนี | สวีเดน | 2–1 | 2–2 | ฟุตบอลโลก 2006[26] |
10 | 2 กันยายน 2006 | โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ | อันดอร์รา | 2–0 | 5–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[27] |
11 | 28 มีนาคม 2007 | Olympic Stadium, สเปน | อันดอร์รา | 1–0 | 3–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[28] |
12 | 2–0 | |||||
13 | 28 พฤษภาคม 2008 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | สหรัฐอเมริกา | 2–0 | 2–0 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[29] |
14 | 15 ตุลาคม 2008 | Dinamo Stadium, เบลารุส | เบลารุส | 1–0 | 3–1 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก[30] |
15 | 9 กันยายน 2009 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | โครเอเชีย | 2–0 | 5–1 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
16 | 4–0 | |||||
17 | 12 มิถุนายน 2010 | Royal Bafokeng Stadium,แอฟริกาใต้ | สหรัฐอเมริกา | 1–0 | 1–1 | ฟุตบอลโลก 2010 |
18 | 11 สิงหาคม 2010 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | ฮังการี | 1–1 | 2–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[31] |
19 | 2–1 | |||||
20 | 6 กันยายน 2013 | สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ | มอลโดวา | 1–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
สถิติการยิงประตู[แก้]
สโมสร[แก้]
สโมสร | ลีก | ฟุตบอลถ้วย | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่นๆ | รวม | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ฤดูกาล | สโมสร | ลีก | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู |
อังกฤษ | พรีเมียร์ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่นๆ | รวม | ||||||||
1998–99 | ลิเวอร์พูล | พรีเมียร์ลีก | 12 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 13 | 0 |
1999–2000 | 29 | 1 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 31 | 1 | ||
2000–01 | 33 | 7 | 4 | 1 | 4 | 0 | 9 | 2 | 0 | 0 | 50 | 10 | ||
2001–02 | 28 | 3 | 2 | 0 | 0 | 0 | 15 | 1 | 0 | 0 | 45 | 4 | ||
2002–03 | 34 | 5 | 2 | 0 | 6 | 2 | 11 | 0 | 1 | 0 | 54 | 7 | ||
2003–04 | 34 | 4 | 3 | 0 | 2 | 0 | 8 | 2 | 0 | 0 | 47 | 6 | ||
2004–05 | 30 | 7 | 0 | 0 | 3 | 2 | 10 | 4 | 0 | 0 | 43 | 13 | ||
2005–06 | 32 | 10 | 6 | 4 | 1 | 1 | 12 | 7 | 2 | 1 | 53 | 23 | ||
2006–07 | 36 | 7 | 1 | 0 | 1 | 1 | 12 | 3 | 1 | 0 | 51 | 11 | ||
2007–08 | 34 | 11 | 3 | 3 | 2 | 1 | 13 | 6 | 0 | 0 | 52 | 21 | ||
2008–09 | 31 | 16 | 3 | 1 | 0 | 0 | 10 | 7 | 0 | 0 | 44 | 24 | ||
2009–10 | 33 | 9 | 2 | 1 | 1 | 0 | 13 | 2 | 0 | 0 | 49 | 12 | ||
2010–11 | 21 | 4 | 1 | 0 | 0 | 0 | 2 | 4 | 0 | 0 | 24 | 8 | ||
2011–12 | 18 | 5 | 6 | 2 | 4 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 28 | 9 | ||
2012–13 | 36 | 9 | 1 | 0 | 1 | 0 | 8 | 1 | 0 | 0 | 46 | 10 | ||
2013–14 | 10 | 2 | 0 | 0 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 12 | 2 | ||
รวม | อังกฤษ | 450 | 100 | 36 | 12 | 27 | 9 | 124 | 39 | 4 | 1 | 641 | 161 | |
รวมทั้งหมด | 450 | 100 | 36 | 12 | 27 | 9 | 124 | 39 | 4 | 1 | 641 | 161 |
ทีมชาติอังกฤษ[แก้]
ทีมชาติอังกฤษ | ||
---|---|---|
ปี | ลงเล่น | ประตู |
2000 | 2 | 0 |
2001 | 6 | 1 |
2002 | 5 | 1 |
2003 | 8 | 1 |
2004 | 10 | 2 |
2005 | 8 | 1 |
2006 | 13 | 4 |
2007 | 11 | 2 |
2008 | 7 | 2 |
2009 | 7 | 2 |
2010 | 12 | 3 |
2011 | 0 | 0 |
2012 | 11 | 0 |
2013 | 7 | 2 |
รวม | 107 | 21 |
เกียรติประวัติ[แก้]
สโมสรลิเวอร์พูล[แก้]
- ชนะเลิศ
- เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2005-06
- ลีกคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2002-03, 2011-12
- เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ ปี 2001, 2006
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
- ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2000-01
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
- รองชนะเลิศ
- พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2001-02, 2008-09
- เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2011-12
- ลีกคัพ ฤดูกาล 2004-05
- เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ ปี 2002
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2006-07
- ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ ปี 2005
เกียรติประวัติส่วนตัว[แก้]
- Ballon d'Or Bronze Award (1): ปี 2005
- ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
- UEFA Club Footballer of the Year (1): ปี 2005
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1): ปี 2009
- FWA Tribute Award (1): ปี 2013
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): ปี 2006
- นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): ปี 2001
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ (2): ปี 2001, 2009
- นักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี 2007, 2012
- ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (7): ปี 2001, 2004, 2005, 2006, 2007, 2008, 2009
- Standard Chartered Liverpool Player of the Month Award (3): เดือนกันยายน 2010, มีนาคม 2012, มกราคม 2013
- Liverpool Player of the Season (2): 2005–06, 2008–09
- ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (3): ฤดูกาล 2004-05, 2005-06, 2008-09
- ทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (1): ปี 2012
- ทีมแห่งปีของยูฟ่า (3): ปี 2005, 2006, 2007
- FIFA/FIFPro World XI (3): ปี 2007, 2008, 2009
- ESM Team of the Year (1): 2008–09
- ประตูแห่งฤดูกาล (1): ปี 2006
- UEFA Champions League Final Man of the Match (1): ปี 2005
- FA Cup Final Man of the Match (1): ปี 2006
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือน มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009
- Member of the Order of the British Empire ปี 2007
- Honorary Fellowship from Liverpool John Moores University ปี 2008
- BBC Sports Personality of the Year Award – อันดับ 3 ปี 2005
- IFFHS World's Most Popular Footballer (1): ปี 2006
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 Hugman, Barry J. (2005). The PFA Premier & Football League Players' Records 1946–2005. Queen Anne Press. p. 232. ISBN 1852916656.
- ↑ "1st Team squad profiles: Steven Gerrard". Liverpool F.C.สืบค้นเมื่อ 2012-03-13.
- ↑ "Steven Gerrard Profile". The Football Association. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
- ↑ It's Steven Gerrard, MBE ข่าวจาก Herald Sun
- ↑ "Football | Premier League | Liverpool News". TEAMtalk. สืบค้นเมื่อ 2010-06-13.
- ↑ "Liverpool captain Steven Gerrard's greatest games". BBC Sports. 14 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2 January 2013.
- ↑ "Liverpool 2–3 Chelsea". BBC Sport. 27 February 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "Liverpool 3–1 Olympiakos". BBC Sport. 8 December 2004. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "Liverpool 3–3 West Ham (aet)". BBC Sport. 2006-05-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-22.
- ↑ Phillips, Owen (1 May 2007). "Liverpool 1–0 Chelsea (Agg: 1–1)". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ McNulty, Phil (14 March 2009). "Man Utd 1–4 Liverpool".BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 16 March 2009.
- ↑ McNulty, Phil (22 March 2009). "Liverpool 5–0 Aston Villa".BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 23 March 2009.
- ↑ Sanghera, Mandeep (4 November 2010). "Liverpool 3–1 Napoli". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2010-11-21.
- ↑ "Cardiff 2–2 Liverpool (Liverpool win 3–2 on penalties)" BBC Sport. 26 February 2012. Retrieved 16 June 2012.
- ↑ "Liverpool 3–0 Everton" BBC Sport. 13 March 2012. Retrieved 16 June 2012.
- ↑ "Liverpool 1–2 Man Utd" BBC Sport. 23 September 2012. Retrieved 30 September 2012.
- ↑ "Gerrard signs contract extension". Liverpool F.C. 15 July 2013. สืบค้นเมื่อ 15 July 2013.
- ↑ "Awesome England thrash Germany". BBC Sport. 2001-09-01. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "Macedonia hold ragged England". BBC Sport. 2002-10-16. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England seal late win". BBC Sport. 2003-06-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England 3–0 Switzerland". BBC Sport. 2004-06-17. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "Austria 2–2 England". BBC Sport. 2004-09-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England 2–0 Azerbaijan". BBC Sport. 2005-03-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England 3–1 Hungary". BBC Sport. 2006-05-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England 2–0 Trinidad and Tobago". BBC Sport. 2006-06-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "Sweden 2–2 England". BBC Sport. 2006-06-20. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England 5–0 Andorra". BBC Sport. 2006-09-02. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ McNulty, Phil (2007-03-28). "Andorra 0–3 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "England beats United States 2–0". International Herald Tribune. 2008-05-29. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ "Belarus 1–3 England FT". The FA. 2008-10-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Winter, Henry (2010-08-11). "England 2–1 Hungary FT". London: The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 2010-08-13.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- Steven Gerrard FIFA competition record
- รายละเอียดจากเว็บลิเวอร์พูล (อังกฤษ)
- BBC Sport profile
- สตีเวน เจอร์ราร์ด career stats at Soccerbase
- Profile and stats at LFChistory.net
- ESPN profile
ก่อนหน้า | สตีเวน เจอร์ราร์ด | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
จอห์น เทอร์รี | นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (พ.ศ. 2549) | คริสเตียโน โรนัลโด | ||
คริสเตียโน โรนัลโด | นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (2009) | เวย์น รูนีย์ | ||
ซามี ฮูเปีย | กัปตันทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (2003–ปัจจุบัน) | - | ||
จอห์น เทอร์รี | กัปตันทีมฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ (2012–ปัจจุบัน) | - |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น